หลายคนคงคุ้นชินกับตุ๊กตาล้มลุกสีแดงสด”ดารุมะ“ที่เรามักจะเห็นเป็นของประดับบ้านหรือปรากฏตัวอยู่ในภาพยนต์ญี่ปุ่นหลายๆเรื่องภาพลักษณ์เป้นตัวดีบ้างตัวร้ายบ้าง นอกจากนี้บางครั้งเราจะเห็นว่ามีการเขียนตาไว้ข้างเดียวบ้าง สองข้างบ้าง หรือไม่ได้ถูกเขียนตาไว้บ้าง วันนี้โอคซังจะมาไขความกระจ่างทำความรู้จักตุ๊กตาล้มลุกดารุมะซังในวัดของเกียวโตไปพร้อมๆกันค่ะ
ดารุมะซังคือใคร
หากเราสืบค้นประวัติศาสตร์ลงไปอย่างลึกๆในโลกอินเตอร์เน็ตจะมีประวัติของดารุมะซังอยู่มากมาย โอคซังจะยกมาเล่าอย่างคร่าวๆว่าแต่เดิมทีดารุมะซังคือพระในจีนเป็นผู้ก่อตั้งนิกายเซ็นขึ้นที่ประเทศจีน โดยหลักการง่ายๆคือ”การกำหนดจิตทำสมาธิ“ ซึ่งแพร่หลายอย่างรวดเร็วในจีน เข้าสู่เกาหลีและเข้ามาสู่ญี่ปุ่น โดยกลุ่มที่ชื่นชอบวิธีการแบบเซนคือกลุ่มซามูไรที่กำลังเฟื่องฟูในญี่ปุ่นมากๆเท่ากับว่านิกายเซนได้มีซามูไรเป็นพรีเซนเตอร์ให้จนแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว
ทำไมดารุมะถึงมีสีแดง
พระที่เราเห็นในไทยส่วนใหญ่จะใส่จีวรสีส้มกันใช่ไหมคะ แต่ในประเทศจีนเมื่อสมัยก่อนนั้นจีวรพระเป็นสีแดงดังนั้นตุ๊กตาล้มลุกดารุมะซังที่เป็นตัวแทนจองพระดารุมะ(จากจีน)จึงถูกทำเป็นสัแดงให้เหมือนสีจีวรของพระดารุมะต้นกำเนิดนั้นเอง
แล้วทำไมดารุมะซังจึงกลายเป็นตุ๊กตาล้มลุก?ไม่เป็นตุ๊กตาธรรมดา
คนญี่ปุ่นแต่เดิมที่มีความเชื่อว่า ล้ม7ครั้งลุก8ครั้ง ที่หมายถึงว่าไม่ว่าเราจะล้มไปกี่ครั้งแต่สุดท้ายเราก็จะลุกขึ้นยืนขึ้นมาเสมอ ได้สอดคล้องกับวิถีการฝึกตนแบบดารุมะซังที่มีซามูไรเป็นพรีเซ็นเตอร์ ดังนั้นดารุมะซังจึงเป็นเหมือนตัวแทนของความพยายามที่ไม่มีวันท้อถอย ล้มกี่ครั้งก็จะลุกขึ้นได้เสมอ
มาเขียนตาให้ดารุมะกันเถอะ!
ถ้าสังเกตดีๆตุ๊กตาดารุมะที่ขายกันอยู่ทั่วไปส่วนใหญ่จะยังไม่ได้ถูกเขียนตาดำ เพราะคนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าหากเราประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังแล้วจะเขียนตาดำให้ดารุมะซังทีละข้าง ดังนั้นหากดารุมะมีตาครบสองข้างแล้วนั้นหมายถึงเราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราหวังแล้วนั่นเอง
เที่ยววัดดารุมะเกียวโต
โอคซังเคยเขียนไว้ในหลายบทความว่าเกียวโตเป็นเมืองที่น่าหลงใหล มีวัดและศาลเจ้าลึกลับอยู่เกือบทุกซอย วัดดารุมะซังเองก็เป็นอีกหนึ่งที่Unseenและอยากให้มา อยู่ห่างจากวัดทอง(Kinkakujiเพียงไม่กี่ป้ายรถเมล์) วัดดารุมะนี้มีชื่อว่า “Hōrinji Temple”
วิธีเดินทางมายังวัดHōrinji Temple
ที่มา Google map
วัด Hōrinji Temple จะอยู่ระหว่างปราสาทนิโจโจ(Nijo-jo castle)กับวัดทอง(Kinkakuji) โดยสถานีบัสและสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดคือ”สถานี Emmachi “(สามารถนั่งบัสสาย205มาลงที่Emmachiแล้วเดินต่อได้ค่ะ)
ทางเข้าหน้าปากซอยจะมีรูปดารุมะซังสีแดงน่ารักอยู่ปากซอยที่ไม่สังเกตุก็คงไม่เห็น ให้เดินเข้ามาในซอยนี้ ไม่เกิน500เมตรค่ะจะเจอกับสะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ เดินเลยสะพานนี้ไม่เกิน1นาทีก็จะเห็นประตูเข้าวัดเล็กๆค่ะ
ประตูทางเข้าวัดเล็กมาก เพื่อนๆอาจจะเดินไปได้เฉยๆ ดังนั้นให้สังเกตให้ดีค่ะ
เข้ามาด้านในแล้วทั้งเงียบสงบไร้ผู้คน ลมแรง และสวนสวยมาก โอคซังสามารถเดินเล่น ถ่ายภาพ ชมความงามด้านในแบบไม่ต้องกลัวว่าจะเดินชนไหล่กับใคร แถมยังมีศาลาให้นั่งเล่นได้สบายๆ ภายในศาลาสะอาดมาก แสดงว่าผู้ดูแลที่นี่ตั้งใจดูแลทุกซอกมุมเป็นอย่างดี
ไหนหล่ะดารุมะ
บรรยากาศใน100เมตรแรกที่เขามาเราจะยังไม่เห็นดารุมะที่เราตามหา เราจะต้องเดินตามทางหินที่มุ่งตรงไปสู่อาคารหลักหลังน้อยนี้
เห็นดารุมะอยู่ไม่ไกลแล้วนะ
เจอตุ๊กตาล้มลุกดารุมะตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางอาคารดูรูปร่างแปลกๆ ที่ไหนได้เป็นที่รับบริจารเงินหย่อนเงินลงไปได้ค่ะ
เมื่อแหงนหน้ามองไปยังเพดานเจอกับตัวภาพวาดท่านดารุมะตัวจริงกับอักษรภาษาญี่ปุ่นที่เขียนว่า”ท่านมาสเตอร์ดารุมะ”หน้าตาเหมือนตุ๊กตาเลยใช่ไหมคะ
ตุ๊กตาดารุมะตัวขนาดกลางๆ(ขนาดประมาณถุงข้าวสาร10กิโลกรัม นี่กลางแล้วหรอ)วางอยู่เต็มไปหมดค่ะ
หรือแบบตัวเล็กตัวน้อยก็มีเพียบ
ตุ๊กตาตัวอื่นคืออะไร!
ตุ๊กตาเจ้าหญิงและบรรตาตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยที่ใส่เก็บไว้อย่างดีในตู้พวกนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ เก็บความสงสัยนี้ไว้ไม่ได้จึงไปถามกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นอายุราวๆ90กว่าในวัดค่ะ ได้ความว่าตุ๊กตาเจ้าหญิงที่เราเห็นหรือแม้แต่ตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้ไม่ใช่ของทางวัด แต่เป็นของคนอื่นที่นำมาทิ้งไว้ค่ะ! ตุ๊กตาเจ้าหญิงเปรียบเสมือนของสูงที่คนญี่ปุ่นไม่สามารถนำไปทิ้งถังขยะได้จึงนำมาทิ้งที่วัด หรือแม้แต่ตุ๊กตาตัวน้อยๆที่คนญี่ปุ่นบอกว่าเป็นของขลังบ้าง เป็นลูกเทพบ้าง อะไรประมาณนี้ก็จะนำมาทิ้งไว้ในวัดในวันที่ไม่ต้องการแล้วค่ะ
โหคนญี่ปุ่นเขาก็มีความเชื่อเรื่องแบบนี้ไม่แพ้บ้านเราค่ะ
แบบนี้ใครที่คิดมาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ในเวลากลางคืนต้องคิดหนักสักหน่อยแล้วค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้านะคะ มาตะเน้
COMMENTS