3สิ่งที่อยากบอกคนไทยเมื่อต้องมาอยู่ญี่ปุ่นระยะยาว เพื่อความสุขของตัวเอง

เคยได้ยินกันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะกับที่หลายคนบอกว่า “ญี่ปุ่นคือประเทศที่เหมาะกับการมาเที่ยว มากกว่าการมาอยู่อาศัย”  หรือ “คนญี่ปุ่นไม่ได้ดีอย่างที่เราคิดหรอกนะ” หรือ “นับถือในความเป็นระเบียบของชาวญี่ปุ่นจริงๆ” หรืออะไรอีกมากมายทั้งด้านดีและด้านลบ จากการผ่านศึกสงครามชีวิตในญี่ปุ่นมาได้สักระยะโอคซังจึงมีความในใจที่อยากจะบอกกับชาวไทยหลายคนที่กำลังจะได้มีโอกาสมาอยู่ในญี่ปุ่นทั้งในเร็วๆนี้หรือในอนาคตอันไกล ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน หรือแม่บ้านพ่อบ้านทั้งหลายว่าสิ่งที่หลายคนบอกมามันจริงหรือไม่ รวมถึงวิธีการจัดการกับปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวเองด้วยนะเออ อยากให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่นี่ค่ะ

จา โอคซัง
จา โอคซัง

บทความนี้เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นเป็นความคิดเห็นส่วนตัวจากโอคซังเองคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะเจ้าคะ

ญี่ปุ่นคือประเทศที่เหมาะกับการมาเที่ยวมากกว่าอยู่อาศัย?

เห้ยพูดเป็นเล่นประเทศญี่ปุ่นเนี่ยนะ! อากาศก็ดี บ้านเมืองก็สวยงามเป็นระเบียบ สวัสดิการรัฐก็ดี ทำไมถึงไม่ควรมาอยู่หล่ะ ก็เพราะความเครียดไงหล่ะค่ะ เพราะความเป็นระเบียบสุดๆของสังคมส่วนใหญ่ของที่นี่ ทำให้คนไทยหลายคนที่เพิ่งมาอยู่ปรับตัวกันไม่ทัน หรือถ้าปรับตัวก็ต้องใช้เวลามากกว่าคนทั่วไปที่เขาเกิดและโตที่นี่ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่คนไทยหลายคนเมื่อมาอยู่แรกๆจนไปถึงหลักหลายปียังคงตัดความคิดที่ว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่ออกไปไม่ได้ แล้วคิดอยากกลับบ้านเกิดเมืองไทยของเรากันทั้งนั้น

จา โอคซัง
จา โอคซัง

โอคซังเองก็เป็น ยังจำได้ดี3เดือนแรกที่ได้มาอยู่ที่นี่ร้องไห้คิดถึงบ้านและบอกกับตัวเองว่าเราจะต้องกลับไทยให้ได้ในสักวัน อยากกินอะไรที่เราอยากกินก็ไม่มี จะออกไปเดินซื้อราดหน้า ข้าวต้ม โจ๊กตอนตีหนึ่งก็ไม่มี ปรับตัวแทบไม่ได้เลยค่ะ

แต่สำหรับโอคซังในวันนี้ โอคคิดว่าทุกวันคือวันที่ดีค่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่ญี่ปุ่นสิ่งที่ได้ตอบแทนมามากที่สุดคือ “เวลา” เพราะความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมส่วนใหญ่ รถไฟ รถบัส การนัดหมายต่างๆที่ตรงต่อเวลา ทำให้สิ่งที่เราจัดการได้ดีคือเวลาเพราะอยู่ที่ไทยทำไม่ได้ค่ะพูดกันตรงๆ ทำให้เห็นค่าของเวลามากขึ้น ได้ใช้เวลาทำสิ่งที่เราชอบได้ มากขึ้นเช่นการนั่งเขียนบล็อคให้เพื่อนๆอ่านนี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ยิ่งในโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้าถึงทุกที่ทำให้ไม่มีปัญหาในการรับข่าวสารหรือติดต่อครอบครัวที่อยู่ที่ไทยเลย  ความห่างไกลที่วัดเป็นไมล์ไม่ได้ทำให้เราห่างไกลเมืองไทยเลย คิดถึงบ้านก็แค่นั่งเครื่องบิน6 ชั่วโมงเอง(ใช้เวลาน้อยกว่านั่งรถทัวร์กรุงเทพไปเชียงใหม่อีกนะคะ)

จา โอคซัง
จา โอคซัง

ความจริงคือ คุณพ่อโอคซังชอบบอกว่าตั้งแต่โอคมาอยู่ญี่ปุ่นกลับบ้านบ่อยกว่าตอนอยู่ที่ไทยซะอีก รู้งี้ให้อยู่ญี่ปุ่นตั้งนานแล้ว คิดไปคิดว่าก็จริงอย่างคุณพ่อว่า

คนญี่ปุ่นไม่ได้ดีอย่างที่เราคิดหรอกนะ?

เพราะคนไทยส่วนใหญ่มักตั้งความหวังกับมาตรฐานความเป็นชาวญี่ปุ่นไว้สูงมาก คิดว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีความระเบียบและสถานะอยู่เหนือว่าเรา เพียงเพราะภาษาที่เขาใช้ต่างจากเรา เพียงเพราะเขาเกิดและโตที่นี่ และตัวเราจะตีค่าตัวเองให้ด้อยลงโอคเองก็เป็นค่ะ ทำให้ชีวิตไม่มีความสุขค่ะ จะทำอะไรก็ไม่สบายใจไปทุกอย่าง พอเกิดความขัดแย้งไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มักจะมีคำพูดที่ว่า “ทำไมคนญี่ปุ่นเป็นอย่างนั้น อย่างนี้นะ”

แต่เราลืมนึกไปหรือเปล่า ว่าคนญี่ปุ่นเองอาจจะตั้งคำถามแบบเดียวกันนั้นกับเราก็ได้?

วิธีแก้ไขเพื่อความสุขที่เพิ่มขึ้นของเราคือ เราต้องเริ่มที่จะปรับระบบความคิดหรือง่ายๆคือทัศนคติของเราก่อนค่ะ

  1. อย่าตีค่าตัวเองให้ด้อยลงกว่าใคร ไม่ว่าจะทำงานอะไร มาจากไหน แต่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เราก็มีทางเลือกแค่ “ใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นให้ไร้ความสุข” หรือ”ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นให้มีความสุขสุดๆเหมือนบ้านตัวเองไปเลย”ถ้าเป็นคุณคุณจะเลือกแบบไหน?
  2. อย่าคิดว่าคนญี่ปุ่นคือคนญี่ปุ่น ให้คิดว่าทุกคนคือมนุษย์ที่เหมือนกัน มีรัก มีทุกข์ มีสุข มีหัวใจ มีความรู้สึกเหมือนกันหมดทุกคน คนญี่ปุ่นไม่ได้ดีไปกว่าใคร หรือคนไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร แต่คนเราทุกคนเท่ากันค่ะ  ให้ตัดคำว่าเชื้อชาติที่เป็นเหมือนกำแพงอันใหญ่ออกไป แล้วเราจะพบว่าเราสามารถเป็นเพื่อนกับใครก็ได้ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนค่ะ
  3. มีความสุขและเรียนรู้กับสิ่งรอบตัวตลอดเวลา คนที่มาอยู่ญี่ปุ่นระยะยาวทุกคนโอคต้องขอคาราวะนะคะเพราะสมองต้องตื่นรู้ตลอดเวลากับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นที่นี่ เหมือนเราต้องปรับชีวิตของเราในทุกวันตั้งแต่ตื่นนอน การทำอาหาร การออกไปทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การซื้อของ ถือว่าทุกวันคือวันใหม่เสมอหายใจเข้าลึกๆและพร้อมรับกับทุกวันค่ะ

พูดคำว่า “ขอบคุณ” มากกว่า “ขอโทษ”

คงคุ้นๆหูกันดีกับคำพูดของคนญี่ปุ่น เมื่อต้องการขอบคุณมักจะพูดว่า すみません(ซุมิมาเซน)หรือごめんなさい。(โกเมนนาไซ)ที่มีความหมายว่าขอโทษ เสมอๆ เพราะกระบวนการคิดของคนที่นี่เมื่อรับความช่วยเหลือของเรานั่นคือการรบกวนเรา เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตัวลงไป ซึ่งในช่วงที่โอคมาอยู่3ปีแรกก็ถือคติเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามพูดขอโทษแทนคำขอบคุณกับทุกเหตุการณ์จนรู้สึกตัวเองด้อยคุณค่าลงทุกวัน เอาตรงๆเหมือนการสะกดจิตตัวเองให้ด้อยลงไปเรื่อยๆ จนรู้สึกเราตัวนิดเดียว ไม่ชินจริงๆเพราะเราไม่ได้โตมาในรูปแบบสังคมที่นี่ค่ะ ดังนั้นเราก็จะไม่ฝืนอีกต่อไป “ขอโทษในสิ่งผิด ขอบคุณในความมีน้ำใจ” โอคคิดว่านี่คือพฤติพรรมที่แท้จริงที่มนุษย์ทุกคนควรทำต่อกันเพื่อความเสมอเท่าเทียมค่ะ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ทุกคนเป็นเพื่อนที่เท่ากัน หลังจากพยายามทำแบบนี้ ทำให้บรรยากาศในการใช้ชีวิตและปฎิสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้นแบบไม่รู้ตัวด้วยนะ

จา โอคซัง
จา โอคซัง

แต่อย่าลืมนะคะว่าถ้าอยู่ในหน้าที่การงานก็ต้องทำตัวให้กลืนกับองค์กรไปด้วยนะ จะเป็นตัวของตัวเอง100%ไม่ได้เด็ดขาด(นี่ไม่ใช่การฝืนนะคะ)ถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้อื่นค่ะ แต่ถ้าตอกบัตรออกจากงานเมื่อไหร่เฮฮาได้ปกติเลย

เมื่อก่อนโอคซังแทบหาความสุขกับการอยู่ที่นี่ไม่ได้แต่หลังจากปรับเปลี่ยนความคิดที่ตัวเรา ความสุขก็มาเคาะประตูหน้าบ้านทุกวัน

คนไทยในญี่ปุ่น

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับหลายคนนะคะ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ

มาตะเน้

COMMENTS