หากใครเคยดูภาพยนต์ญี่ปุ่นหรือเคยมาท่องเที่ยวญี่ปุ่นอาจจะเคยรู้สึกหลงใหลถึงความมีเสน่ห์ของที่นี่ เมืองเกียวโตเป็นอีกเมืองที่มีเอกลักษณ์วัฒนธรรมเก่าแก่มีกลิ่นไอของความลึกลับอยู่มากมายโดยเฉพาะหมู่บ้านคิบุเนะ(kibune)ทางตอนเหนือของเกียวโต(Kyoto)ที่สงบเงียบเล่ากันว่าเป็นศูนย์รวมของเหล่าวิญญาณภูติผีแต่กลับมีเสน่ห์ท่ามกลางป่าเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านเอาไว้เป็นอย่างมาก “ศาลเจ้าคิฟุเนะ(Kifune-jinja shrine)”เองที่เราจะไปกันในวันนี้ก็อยู่ทางตอนเหนือที่ลึกลับนี้หล่ะค่ะตามความเชื่อเป็นศาลเจ้าของเทพเจ้าแห่งสายน้ำเพื่อนๆสามารถเที่ยวที่นี่ได้ด้วยตัวเองใน1วันแบบชิวๆและสดชื่น ศาลเจ้านี้อยู่ไกลจากตัวเมืองเกียวโตมากค่ะจะต้องนั่งรถไฟขึ้นไปบนเขาผ่านความสวยงามของธรรมชาติเหมือนเรากำลังถูกมนต์สะกดหลุดไปอีกมิตินึงเลยก็ว่าได้ แล้วเราจะเจออะไรในระหว่างกันบ้างมาชมกันเลยค่ะ
- เดินทางไปKifune Jinja ต้องนั่งรถไฟผ่านหุบเขาและป่าใหญ่เข้าไปราวกับตัดขาดกับโลกภายนอก
- ชมศาลเจ้าคิฟุเนะ
- ในหน้าร้อนนี้ที่ศาลเจ้ามีน้ำเลเม่อนเนดขายอยู่ด้วย ขวดละ500เยนสามารถทานได้แบบสดชื่นมีวิธีดื่มที่พิเศษ !!!!!
- ศาลเจ้าคิฟุเนะเป็นที่หลบภัยหากเกิดภัยพิบัติ
- ไปชมศาลเจ้าในจุดที่2
- ศาลเจ้าจุดที่3(จุดสุดท้าย)
- เรื่องไม่ลับที่ไม่รู้ของศาลเจ้าคิฟุเนะหมู่บ้านคิบุเนะที่นี่
- เดินทางกลับตามทางเดิม
- สรุปค่าใช้จ่าย
เดินทางไปKifune Jinja ต้องนั่งรถไฟผ่านหุบเขาและป่าใหญ่เข้าไปราวกับตัดขาดกับโลกภายนอก
ก่อนอื่นเราต้องนั่งรถอะไรก็ได้หาทางไปลงที่สถานี Demachiyanagi Station(出町柳駅)
เปิดแผนที่google>>https://goo.gl/maps/pwyYC1pq5pG2 เพื่อต่อรถไฟเข้าไปยังสถานีKibuneguchi(貴船口)สถานีปลายทางของเรา รถไฟสายที่จะเข้าไปที่วัดแห่งนี้มีทุกๆ15-30นาที ราคาไปที่นั่น-กลับมาที่เดิม 420円/คน หากใครที่เคยได้ยินเกี่ยวกับรถไฟสายโรแมนติกไม่ใช่สายรถไฟนี้นะคะแต่อยากบอกว่าถ้าเข้าฤดูใบไม้แดงเมื่อไรรถไฟสายนี้ก็สวยงามไม่แพ้กันเลยค่ะ โอคซังเดินทางเข้าไปที่ศาลเจ้าแห่งนี้ในหน้าร้อน ระหว่างทางเจอต้นซากุระและต้นเมเปิ้ลขึ้นหนาตลอดทางจึงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่สวยงามของธรรมชาติ แต่รู้สุดได้ว่าถ้าเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเปลี่ยนสีจะต้องสวยงามมากๆแน่นอน
ไปนั่งรถไฟกันเลยค่ะให้เรารอที่ป้าย3ที่ในรูปเราจะเห็นว่ามีพนักงานสถานีเสื้อดำๆหมวกดำๆนั้นยืนอยู่ให้เรายืนรอที่ตรงนั้นเลยค่ะ
รถไฟมาถึงแล้วประตูรถจะเปิดด้านตรงข้ามเราเพื่อให้คนทีเพิ่งมาถึงลงก่อนเราไม่จำเป็นต้องเดินข้ามไปนะคะให้รอที่เดิมนอจนกว่าคนจะลงหมดรถแล้วประตูฝั่งที่เรายืนอยู่จะเปิดเอง
นั่งรถไฟเข้าไปกันเลยค่ะ
ระหว่างทางที่นั่งเช้าไปตื่นเต้นสุดๆเหมือนในหนังเลยมันสวยมากนี่ขนาดหน้าร้อนเห็นแค่สีเขียวนะคะยังรู้สึกว่ามันสวยและลึกลับสุดๆ
ก้าวขาลงมาจากรถไฟเราจะรู้สึกเหมือนธรรมชาติกำลังโอบกอดเราอยู่ค่ะมีลมเย็นๆพัดมาตลอด สถานีปลายทางKibuneguchi(貴船口)นี้มีคนรอเพื่อขึ้นรถไฟกลับไปอยู่มากเลยค่ะ
แอบเซอไพร้เล็กๆที่สถานีคนน้อยแห่งนี้จะประดับประดาคำอธิษฐานในเทศกาลขอพรดวงดาวกับเขาด้วย
เราจะต้องเดินลงไปจากสถานีเพื่อต่อรถบัสเข้าไปอีกที โดยรถบัสนี้ไม่สามารถใช้บัตรเหมาวันหรือบัตรคันไซทรูพาสได้ต้องจ่ายโดยการหย่อนเหรียญเข้าเครื่องด้านหน้าข้างคนขับตอนลง160円/คนระหว่างทางต้องผ่านป่าและต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศทึมๆลึกลับปนน่ากลัวหน่อยๆลงมันสุดป้ายKibune(貴船)เลยค่ะ
เมื่อรถบัสจอดแล้ว เราต้องเดินเท้าผ่านเมืองเล็กๆเพื่อเข้าไปให้ถึงศาลเจ้า
ระหว่างทางเราสามารถมองเห็นร้านอาหารมีที่นั่งวางพาดอยู่บนน้ำตกราคาค่อนข้างแพงจนตกใจแต่ละร้านจะไม่ติดราคาบอก
มีเพียงร้านแรกร้านเดียวที่เห็นมีติดราคาไว้นะคะที่ 6500เยน/คน โอโหราคาแพงไม่ใช่เล่นๆเลยค่ะ
เดินขึ้นไปเรื่อยๆเราจะเจอกับความมหัศจรรย์ของเมืองเล็กๆเมืองนี้ค่ะ มันสวยมาาาาาาก
ชมศาลเจ้าคิฟุเนะ
ศาลเข้าคิฟุเนะจะมีทั้งหมด3จุดขึ้นไปตามแนวภูเขาใครที่เดินไหวต้องไปให้ครบทั้ง3จุด แต่ถ้าใครที่เดินไม่ไหวแนะนำให้ชมแค่จุดแรกจุดเดียวที่เป็นจุดนิยมขอพร ถ่ายรูปและเชคอินก็เพียงพอแล้วค่ะ
ให้เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆจนจะเจอกับทางเข้าศาลเจ้าจุดแรกเห็นเสาโทริสีแดงตั้งตระหง่านด้านหลังคือบันไดขึ้นไปบนเขาโดยไหล่ทางบันไดจะเต็มไปด้วยโคมไฟสีแดงยาวสุดลูกตา เชื่อว่าหลายๆคนจะต้องประทับใจในความสวยงามของทางเข้าตรงนี้แน่นอน
เดินขี้นไปไม่ไกลค่ะบันไดไม่ชันเดินสะดวก
ขึ้นไปถึงส่วนของประตูทางเข้าแล้วค่ะ
วันนี้กำลังจะมีเทศกาลขอพรจากดวงดาวพอดี ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นกระดาษขอพรแขวนไว้ตามกิ่งไผ่เป็นซุ้มมากมายโดยรอบบริเวณและเรายังสามารถเขียนคำอธิษฐานแขวนไว้ได้อีกด้วยถ้าใครอยากเขียนต้องหยอดเงินใส่กระปุกข้างๆด้วยนะคะ100円/ใบค่ะ
จุดล้างมือล้างปากตามแบบฉบับญี่ปุ่นสาวไกำลังถ่ายรูปกันแบบเพลิดเพลิน
เมื่อเดินขึ้นไปอีกนิดจะเจอกับสถานที่ขอพร และเสี่ยงทำนายดวง
ตรงนี้สามารถไปขอพรค่ะ
การทำนายดวงของที่นี่ให้เขียนชื่อลงในกระดาษแล้วนำกระดาษไปลอยน้ำในธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ค่ะ
การทำนายดวงแบบนี้เป็นอะไรที่ดูสนุกมากๆเห็นคนญี่ปุ่นเล่นกันใหญ่เลยหรือถ้าใครไม่ถนัดเรื่องทำนายดวงอยากที่อยากได้น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้กลับบ้านสามารถกรอกใส่ขวดไปได้ในราคา300เยน/ขวดค่ะเห็นล่ำลือกันว่าน้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์มากให้พรได้ทุกสิ่ง
ในหน้าร้อนนี้ที่ศาลเจ้ามีน้ำเลเม่อนเนดขายอยู่ด้วย ขวดละ500เยนสามารถทานได้แบบสดชื่นมีวิธีดื่มที่พิเศษ !!!!!
การดื่มน้ำจากขวดแบบนี้มีวิธีดื่มที่พิเศษ ภายในขวดจะมีลูกแก้วที่เมื่อเราดื่มแบบรวดเร็วยกขวดจนอยู่ในระดับเหนือจมูกน้ำจะไม่ไหลลงมาให้ค่ะ ต้องค่อยๆยกดื่มห้ามเร่งรีบ
จุดซื้อน้ำเลม่อนเนดอันสดชื่นหรือใครที่สนใจเครื่องรางของขลังในการกันภัยจากภูตผีที่นี่ก็ชึ้นชื่อค่ะสามารถซื้อได้
เตรียมเงิน500円ซื้อได้จากเจ้าหน้าที่ตรงนี้เลย
เวลาเปิดขวดตรงกดฝาลงไปแรงๆ จะมีเสียงดังเป๊าะ!แล้วเปิดฝาออกลูกแก้วจะร่วงลงไปในขวดลูกแก้วนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการบล็อคน้ำไม่ให้ไหลออกมาหากเราคว่ำขวดลงค่ะ คือเท่มาก!!ดื่มหมดแล้วสามารถเอาขวดกลับได้ค่ะหรือจะทิ้งไว้ในลังใกล้ๆได้
เวลาที่เรายกขวดขึ้นและกันสันขวดขึ้นด้านบนด้านล่างแบบในภาพลูกแก้วจะไหลลงมาปิดปากขวดค่ะน้ำจะไม่ไหลออกจากขวดเลยค่ะ โอ้โหมหัศจรรย์(ทำไมเมื่อก่อนไม่ตั้งใจเรียนนะเราจะได้ออกแบบอะไรแบบนี้ได้บ้าง)
ดังนั้นถ้าอยากดื่มต้องค่อยๆดื่มแบบสไลวโมชั่นห้ามรีบร้อน หันสันขวดไปด้านข้างค่ะ ถ้าไม่ทำแบบนี้น้ำเลม่อนเนดอันอร่อยสดชื่นจะไม่ไหลลงมาค่ะ
เดินลงออกจากศาลเจ้าค่ะตรงทางลงนี้มีคนยืนถ่ายรูปอยู่ด้านล่างหลายคนเลยค่ะ ก็สถานที่เขาสวยนี่เน้อะ
ศาลเจ้าคิฟุเนะเป็นที่หลบภัยหากเกิดภัยพิบัติ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่หลายๆคนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวอาจจะมองข้ามหากตอนที่เราเดินเที่ยวให้เรามองหาป้ายคล้ายๆกันแบบนี้ไว้ค่ะเพราะถ้าที่ไหนที่มีป้าย Emergency evacuation site for tourists ไว้แบบนี้แสดงว่าเราสามารถใช้ที่นั่นเป็นจุดนัดพบ หรือแหล่งรวมพลเวลาเกิดเหตุภัยพิบัติในระแวกนั้นได้ค่ะ ถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันให้เราหาทางไปที่จุดนี้ให้ได้ค่ะ
ไปชมศาลเจ้าในจุดที่2
หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบว่าศาลเจ้าคิฟุเนะมีอีก2จุดที่ต้องขึ้นไปส่วนใหญ่หลังจากที่ชมจุดแรกเสร็จแล้วก็อาจจะเดินกลับเลย แต่ถ้าใครที่อยากชมจุดอื่นต้องเดินขึ้นไปอีกค่ะ
ค่อยๆเดินขึ้นไปค่ะ อาจจะเหนื่อยนิดนึงแต่ก็สู้ๆนะคะ
มาถึงศาลเจ้าในจุดที่2แล้วค่ะ
หินศักดิ์สิทธิ์ค่ะ ตามความเชื่อญี่ปุ่นยิ่งหินมีอายุมากเท่าไรก็จะนับว่าเป็นเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเท่านั้นดังนี้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยค่ะที่บางที่เพื่อนๆจะเห็นว่าตามวัดเอาผ้ามาผูกให้หรือใส่หมวกให้ก้อนหิน
กระดาษคำอธิษฐานค่ะสีเขียวๆนั้นไม่แน่ใจว่าตระไคร่หรือสีกระดาษของจริง
ศาลเจ้าจุดที่3(จุดสุดท้าย)
ไปกันต่อค่ะ
ระหว่างทางเจอต้นไม้ยักษ์ติดป้ายไว้ด้วยค่ะ ต้นนี้คือต้นสนซีดาร์ ตามที่เขาเขียนไว้บอกคือ ราก1รากของต้นสนซีดาร์มีต้นไม้2ต้นใช้รากเดียวกัน ดังนั้นจึงหมายถึงคนรักสองคนที่จะรักกันอยู่ด้วยกันเป็นคนเดียวกันดั่งรากไม้เดียวกันนั่นเอง โอ้โหลึกซึ้งขนลุกซู่ ระหว่างทางนี่เจออะไรแปลกๆเยอะเลยค่ะ
เรามาถึงจุดที่3จุดสุดท้ายแล้วค่ะ จุดนี้นี้น้อยคนนักที่จะมาค่ะ หลายๆคนเข้ามาเพื่อมาสักการะเส้นผมของคุระโอกะ และมารับพลังชีวิต โดยจุดนี้สำหรับคนญี่ปุ่นมีชื่อเสียงมากด้านการมารับพลังอันมหาศาล
ช่างดูลึกลับขนานแท้
มีใครรู้ไหมคะว่าใต้ดินนี่มีถ้ำยักษ์อยู่ด้วย ใช่ค่ะ!ถ้ำจริงๆ ข้างในสถานที่ศักดิ์การะจุดไหนสักจุดในนี้จะมีรูทางเข้าอยู่ค่ะซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าอยู่ตรงไหนและไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้นค่ะ
ตลอดทริปในวันนี้เต็มไปด้วยความลึกลับพิศวงแต่ก็น่าหลงใหล เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจชมบรรยากาศแล้วใครที่อยากลองทานอาหารบนธารน้ำตกก็สามารถทานกันต่อได้เลยค่ะ ใครที่จะเที่ยวที่นี่โอคซังแนะนำให้มาตั้งแต่เช้าจะได้มีเวลาเดินเที่ยวค่ะ การเที่ยวที่นี่อาจจะทำให้หมดเวลาไปทั้งวันได้ง่ายๆแต่ได้รับความประทับใจกลับไปแน่ๆ
เรื่องไม่ลับที่ไม่รู้ของศาลเจ้าคิฟุเนะหมู่บ้านคิบุเนะที่นี่
มักจะมีคนนิยมมาทำการสาปแช่งคนที่ไม่ชอบที่นี่โดยการทำตุ๊กตาฟางเขียนชื่อและใช้ตะปูตอกยึดเข้ากับต้นไม้ในศาลเจ้านี้อยู่เสมอๆคล้ายๆกับความเชื่อเรื่องการทำคุณไสยของไทย ถ้าใครที่เห็นว่ามีตุ๊กตาถูกปักไว้ที่ต้นไม้ไว้แถวนั้นถือว่าปกติสุดๆ ขนลุกกกกกกกก
เดินทางกลับตามทางเดิม
ตลอดทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้และบ้านคนไม่กี่หลังไม่กล้าเดินแหกไปทางอื่นค่ะ เดินกลับทางเดิม ขึ้นรถบัสคันเดิมป้ายเดิม รถไฟที่เดิม การเดินทางในครั้งนี้ประทับใจมากกับบรรยากาศความชุ่มช่ำและธรรมชาติที่ลึกลับ ได้ภาพสวยๆเก็บไว้ในความทรงจำมากมายเลยค่ะ บ๊ายบายนะคิฟุเนะ
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่ารถไฟไป-กลับ(Demachiyanagi station-Kibune)420円+ ค่าบัสนั่งเข้าไปที่เมืองKibune160円+ น้ำเลม่อนเนด 500円=1,080円(ประมาณ400 บาท) ราคาดีขนาดนี้ไปเถอะค่ะถ้าอยากประหยัดหิวข้าวกลางวันแนะนำให้เตรียมข้าวปั้นซื้อจากเซเว่นไปด้วยจะประหยัดได้เยอะเลยค่ะ
เจอกันใหม่ในบทความหน้านะคะ
มาตะเน้
COMMENTS