จากบทความก่อนหน้านี้[เที่ยวเซนได Part 2 !!แนะนำที่เที่ยว พิพิธภัณฑ์อันปังแมนและปราสาทเซนได รีวิว] ที่โอคซังเขียนเรื่องทริปเที่ยวในเซนไดไว้แล้ว คืนนี้โอคซังเลือกที่จะเดินทางออกมาจากอำเภอเซนไดเข้าสู่อำเภอนาโตริที่เป็นอำเภอที่ตั้งของสนามบิน เพราะวางแผนไว้ว่าในตอนเช้าจะได้เดินกลับแบบง่ายๆไม่ต้องตื่นเช้าตาเหลือกวิ่งไปขึ้นรถไฟไปสนามบิน ก็อำเภอเซนไดอยู่ห่างจากสนามบินบินเซนไดเกือบชั่วโมง กลัวไม่ทันเดี๋ยวตกเครื่อง โอ้ยนอกเรื่องอีกแล้ว กลับมาที่โรงแรมค่ะ
วันนี้โอคซังเลือกพักที่โรงแรม Value The Hotel
พอออกมาจากสถานีรถไฟแล้วโอคซังก็เรียกเท็กซี่เข้ามาที่โรงแรมเลยค่ะ ตอนขึ้นรถแท็กซี่ปั๊บคนขับถามก่อนเลยว่าจะไปโรงแรม Value the hotelใช่มั้ย งงไปเลยค่ะรู้ได้ไงสงสัยแถวนี้จะมีโรงแรมอยู่ที่นี่ที่เดียว กว่าจะเดินทางมาถึงก็ค่ำแล้วประมาณ 5โมงเย็นกว่าๆ(ฟ้านี่มืดเชียว) เข้าไปเชคอินกันก่อนเลยค่ะเพราะอากาศเย็นมากๆไม่มีแรงขยับเขยื้อนไปที่ไหนเลย แถมพอออกมาข้างนอกแล้วแทบจะไม่มีอะไรเลยถ้าใครที่พักที่นี่แนะนำว่าให้ซื้อของกินเข้ามากันไว้ก่อนเลยนะคะ เพราะที่โรงแรมไม่มีบริการอาหารเย็นค่ะ
เข้าไปด้านในกันค่ะ
เคาน์เตอร์เชคอินน่ารักๆเหมือนโรงแรมทั่วไป ไม่หรูหรา ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงเรียนมัธยมญี่ปุ่นเลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดีมากๆค่ะ
และถ้าเพื่อนๆสังเกตกันให้ดีๆข้างหน้าโถงเคาน์เตอร์จะมีบอร์ดที่มีข้อความภาษาญี่ปุ่นเขียนไว้เต็มเลยค่ะ
สังเกตุไหมคะที่ผนังโรงแรมจะมีป้ายที่มีคำว่า がんばろ! ที่แปลว่าสู้ๆนะเขียนติดไว้ทั่วโรงแรมเลยค่ะ
ย้อนความหลังของโรงแรมเมื่อเดือนมีนาคม ปี2011
หากใครยังจำได้ในเดือนมีนาคม ปี2011จังหวัดมิยากิได้ถูกสึนามิถล่มแบบครั้งใหญ่มาแล้วทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาของญี่ปุ่น โดยหนึ่งในอำเภอที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดก็คือ พื้นที่อำเภอNatori ที่เรานอนกันในคืนนี้นี้หล่ะค่ะ มีผู้เสียชีวิต900-1,000คน!!! ด้วยตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่สูงมาก ก็ยิ่งต้องการอาสาสมัครในการเข้ามาดูแลช่วยเหลือมากตามเท่านั้น ดังนั้นโรงแรม Value the hotel นี้จึงได้ก่อตั้งขึ้นมาสำหรับอาสาสมัครที่เข้ามาค่ะ หลังจากที่เหตุการทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติอาสาสมัครก็ได้ช่วยกันเขียนข้อความให้กำลังลงในบอร์ดของโรงแรมดังนั้นโรงแรมนี้จึงไม่ใช่โรงแรมธรรมดาแต่เป็นโรงแรมที่เป็นเหมือนหัวใจของชาวNatoriเลยค่ะ
เจ้าของโรงแรมได้นำตู้คอนเทนเนอร์มาวางเรียงกันทำเป็นห้องพักค่ะ ถ้าหากว่าเรามองจากข้างนอกคงคิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมเล็กๆ แต่ความจริงแล้วไม่เล็กอย่างที่คิดที่นี่มีห้องพักเยอะมาาาาาาากกกก ทุกห้องมีขนาดเท่ากันหมด และมีโรงอาหารสำหรับอาหารเช้าด้วยนะคะ ด้วยการออกแบบที่แปลกๆแบบนี้หล่ะค่ะ โรงแรมนี้ก็เลยได้รางวัลด้านการออกแบบปี2013ด้วยค่ะ
มาชมในห้องกันเลย
มาเสียบการ์ดเปิดไฟกันก่อนค่ะ
พอเราเปิดไฟเรียบร้อยแล้วสิ่งที่เราต้องคำนึงและดูอยู่เสมอคือทางออกฉุกเฉินนะคะ ส่วนใหญ่จะมีติดอยู่ที่หน้าประตูค่ะ เพราะถ้าเกิดเหตุการอะไรขึ้นเราจะได้รู้ทางหนีได้ดีค่ะ
เมื่อเข้ามาด้านในแล้วสิ่งที่เราเจออยู่ข้างประตูเหมือนโรงแรมญี่ปุ่นทั่วไปคือที่แขวนเสื้อผ้า และรองเท้าใส่เดินในห้อง โรงแรมนี้มาในคอนเซ็บแบบรักษ์โลกค่ะดังนั้นอะไรที่ประหยัดได้ก็ช่วยกันประหยัดค่ะ รองเท้าเดินในห้องจึงไม่ใช่แบบใช้แล้วทิ้งหรือสามารถหยิบหลับบ้านได้
พอเดินเข้ามาด้านในจะเห็นว่าห้องพักมีขนาดเล็กมากๆ เตียงมีขนาดพอดีไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่อลังกาลแต่สะอาดและนอนสบายมากค่ะ
ข้างๆเตียงจะมีโต๊ะเขียนหนังสือ ทีวี ตู้เย็น(อยู่ใต้โต๊ะ) มีถังขยะ และกระจกสีชมพูหวานแหว๋ว
พร้อมกับห้องน้ำแบบยูนิตมีอุปกรณ์พื้นฐานให้ครบค่ะ ทั้งสบู่ แชมพู ส่วนแปรงสีฟัน ยาสีฟัน หมวกอาบน้ำ คัตตอนบัตเหล่านี้หยิบได้ที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์เลยค่ะ โอคซังไม่ได้หยิบมาเพราะพกมาเอง(เป็นคนจัดฟันค่ะเวลาใช้แฟรงสีฟันโรงแรมทีไรเจ็บเหงือกทุกที ใครที่จัดฟันพกแปรงกันมาเองนะคะเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีค่ะ)
มาชมโรงอาหารในตอนเช้ากันค่ะ
หลังจากที่เรานอนกันแบบเต็มอิ่มมาแล้วโอคก็ตื่นนอนที่6:00น.พอดีได้เวลาแปรงฟันแล้วออกไปหาอะไรทานแล้ว เดินออกมาแล้วขึ้นไปชั้นสองโดยบันไดอยู่ข้างๆเคาน์เตอร์เชคอินค่ะ
ทุกคนทำการต่อแถวและรอแบบน่ารักๆเหมือนเรากำลังย้อนวัยไปสมัยยังเป็นเด็กเลยค่ะ
เซตอาหารที่ได้มาเราเลือกไม่ได้นะคะว่าจะเอาอะไร สิ่งที่เราเลือกได้มีแค่น้ำกับการลุกไปตักซุบ โอคตักซุบข้าวโพดมาค่ะ หลังจากทานแล้วโดยรวคือเลี่ยนมาก ทุกอย่างมันไปหมด โอคทานได้ไม่หมดค่ะต้องหายาดมมาดมแบบด่วนๆ แต่เห็นคนญี่ปุ่นทานกันหมดเกลี้ยงทุกคน
แล้วไปเที่ยวด้วยกันอีกนะคะ
มาตะเน้
COMMENTS